สิ่งแรกๆที่ฉันได้รู้จักผ่านงาน Voice Dialogue คือการได้มีประสบการณ์ตรงกับ “ความบอบบาง” หรือ “Vulnerability” ที่อยู่ภายในตัวฉันเอง การรับรู้ถึงการดํารงอยู่ของด้านที่บอบบางในตนเองนั้นส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ ภายในที่เปลี่ยนไป จากมุมมองเดิมๆ (ซึ่งมองผ่านสายตาของตัวตนบางตัวตนที่ขับเคลื่อนชีวิตฉันมาทั้งชีวิต) “ความบอบบาง” มีค่าเท่ากับ “ความอ่อนแอ” บวกกับ “ความน่าอับอาย” ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้ไม่ว่าจะคนเดียวหรือ ต่อหน้าผู้อื่น ฉันไม่เคยที่จะสามารถดํารงอยู่กับความบอบบางและความรู้สึกตรงหน้าได้จริงๆ นั่นเป็นเพราะเสียง ตัดสินภายในที่ดังเหลือเกินที่ปฏิเสธผลักไสและไม่ยอมให้ฉันรู้จักกับความบอบบางที่แสนจะพิเศษและงดงามที่มี อยู่ในตัวฉันซึ่งคือมนุษย์ธรรมดาๆคนนี้
เมื่อฉันได้รู้จักและยอมรับถึงการดํารงอยู่ของด้านที่บอบบางต่างๆในตัวฉัน ทั้งความเหงา ความอ้างว้าง ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความสํานึกผิด ความเศร้า ความสูญเสีย ความกลัว ความอิจฉา รวมถึง ความรัก ความสนุก ความสุข ความร่าเริง ความไร้เดียงสา ฯลฯ เสียงตัดสินภายในต่อความบอบบางต่างๆก็เบาบางลง และ ในขณะเดียวกันความเมตตาต่อตัวเองก็เกิดขึ้น ความเมตตานี้เป็นความเมตตาที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อความ เมตตาที่แท้เกิดขึ้น ฉันรับรู้ได้เลยว่าฉันไม่เคยแม้แต่จะเมตตาตนเอง ฉันดําเนินชีวิตด้วยการเคี่ยวเข็ญและทําร้ายตนเองมาโดยตลอดอย่างไม่รู้ตัว ฉันเคยรู้จักแต่ความสงสารซึ่งต่างกับความเมตตาอย่างสิ้นเชิง ความเมตตาที่ฉัน ได้รู้จักนี้ เป็นความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และ มั่นคง ที่มีอยู่ภายใน ต่างจากความสงสารที่กดทับ แบ่งแยก และ ตัดสินเป็นอย่างมาก
จากความเมตตาภายในที่เกิดขึ้นต่อด้านที่บอบบางต่างๆภายในตัวฉัน ส่งผลอย่างมากต่อการมี ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ฉันตัดสินผู้คนน้อยลง และรับรู้ถึงความบอบบางที่ดํารงอยู่ในตัวผู้อื่นได้มากขึ้นด้วย ความเมตตาที่ฉันมีให้กับตนเองนั้น ฉันสามารถมีให้ผู้อื่นได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทําให้ฉันอยู่กับคนตรงหน้าได้อย่างแท้จริงมากขึ้น ซึ่งหมายถึง อยู่ทั้งกาย ทั้งใจ และ ทั้งจิตวิญญาณ เดิมฉันอาศัยความพยายาม วิธีการ และหลัก การเพื่อการดํารงอยู่กับคนตรงหน้า ซึ่งส่วนใหญ่ กายอยู่ แต่ ใจมักไม่อยู่ ความพอดีมักไม่เกิด มีแต่ความอลหม่าน ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความเกินล้นที่พยายามหรือห้ามที่จะพยายามเข้าไปดูแลช่วยเหลือ หรือเป็นความขาดคืออยาก จะหนีออกห่างเพราะรับมือไม่ได้หรือแกล้งที่จะทําเป็นว่าฉันรับมือได้
ฉันสังเกตตนเองในช่วงแรกๆที่ฉันเริ่มรู้จักและเปิดรับเพื่อหลอมรวมด้านที่บอบบางเข้ามาในตนเองแล้ว แทนที่สิ่งต่างๆจะเลวร้ายลง หรือฉันจะดูเป็นคนอ่อนแอลง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเป็นธรรมชาติ และกลับกลายเป็นความโปร่งโล่งเบา เพราะมียอมรับและไม่มีปฏิเสธหรือกดทับความรู้สึกจากด้านบอบบางแหล่านั้นเหมือนที่เคยเป็นมา
อีกสิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อฉันในช่วงแรกๆเมื่อฉันได้ทํางานกับความบอบบางในตนเอง คือพลังงานในร่างกายที่ เปลี่ยนไปจนสังเกตได้ เดิมฉันเป็นคนที่ร่างกายเย็น มือเท้าเย็น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ คอ หลังช่วงบนอยู่ เป็นประจํา ปวดหัวบ่อยๆจากความเครียด ปวดท้องเป็นประจําเมื่อมีความกลัวหรือไม่มั่นใจ อาการทางกายเหล่านี้ ลดน้อยลงมาก ตัวฉันเริ่มอุ่นขึ้น หรือเรียกว่าพลังงานชี่ในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น ความเครียด ความกดทับ ความ เก็บกดลดน้อยลงส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่หดเกร็งและไม่ปวดหัว
สิ่งที่สําคัญอีกอย่างหนึ่งที่ฉันค้นพบคือเรื่องความกลัว ฉันรู้ว่ามนุษย์มีความกลัวเป็นพื้นฐาน แต่มนุษย์ก็ ไม่ต้องการความกลัว อยากขจัดความกลัวด้วยความกล้า ความกลัวไม่เคยหายไปไหนขณะที่เราใช้ความกล้า มันนอนก้นและออกอาการให้เรารู้สึกได้อยู่ตลอดเวลา คนเรามักใช้ความกล้าเพื่อปกปิดและกดทับความกลัว ฉันเองก็ทํา เช่นนั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อฉันได้เริ่มทํางานกับตัวตนหลักผ่านการสัมภาษณ์ตัวตนกับครูเจมี่มาประมาณครึ่งปี ฉันสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ในขณะนั้น คือ ความกลัวต่างๆ ลดน้อยและจางลงโดยที่ฉันไม่ได้ใช้ความกล้าหรือห้ามตัวเองไม่ให้กลัวอย่างที่เคยเป็นมา ที่น่าแปลกคือ ฉันเป็น คนที่กลัวจิ้งจกและกลัวความสูงเป็นอย่างมาก ความกลัวในสองสิ่งนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันเริ่มเห็นว่าสิ่งนี้อาจจะมีผลมาจากความมั่นคงภายในใจและสภาวะภายในที่มีดุลยภาพมากขึ้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันเข้าใจว่าเป็นผล โดยตรงคือ ฉันเห็นกระบวนการถอดถอนจากความยึดติดกับตัวตนหลักๆที่ครอบครองชีวิตฉันอย่างที่ฉันไม่เคยรู้ เนื้อรู้ตัวมาก่อน ซึ่งการไม่ยึดว่าเราเป็นอะไรบางอย่างส่งผลอย่างมากต่อการลดลงของความกลัวภายใน เพราะฉันเข้าใจแล้วว่า การยึดกับ “การเป็น” สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะมาพร้อมกับ “ความกลัวที่จะไม่เป็น” หรือ “ความกลัวที่จะเป็นไม่ได้” ด้วย
รูปแบบตัวตนหลักเหล่านั้นบอกฉันว่า ฉัน “ต้อง” เป็นคนอย่างไร ฉัน “ต้อง” ทําอะไรบ้างในชีวิต ฉัน “ควร” จะ แสดงออกอย่างไร ฉัน “ควร” ฉัน “ต้อง” ... เพื่อให้ฉันเป็นที่รัก เป็นที่น่าเอ็นดู เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่เคารพ ฉันเริ่ม เห็นว่ารูปแบบตัวตนหลักๆเหล่านี้ควบคุมชีวิตฉันอย่างที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันแค่รู้ว่าฉันควรจะทําอะไรหรือต้องทําอะไร แต่ฉันไม่รู้ว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นเหมือนกฎที่กําลังควบคุมและบงการฉันอยู่อย่างที่ฉันไม่มีอิสรภาพที่จะเลือกการดําเนินชีวิตเลยด้วยซ้ำ บางครั้งถ้าฉันไม่ทําตามกฎที่รูปแบบตัวตนหลักกําหนดไว้ ฉันจะถูกรูปแบบตัวตนหลักเหล่านั้นทําโทษอยู่ภายใน เป็นเหมือนเสียงตัดสิน เสียงก่นด่า หรือเป็นการโทษตัวเองจนเกิดเป็นความเครียด ความกังวล ความกลัว ความผิดสะสม
ความผ่อนคลายเบาสบายและความกลัวที่ลดลงไม่ได้เกิดจากการกําจัดรูปแบบตัวตนหลักทิ้งไปได้และเปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งใหม่ที่ปราศจากสิ่งเดิม แต่เป็นการยอมรับและเคารพถึงการดํารงอยู่ของตัวตนหลักเหล่านั้นซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาผ่านประสบการณ์ต่างๆในชีวิตทั้งการเลี้ยงดู การเรียนการสอน ศาสนา สังคม ว่าการดํารงอยู่ของรูปแบบตัวตนหลักเหล่านั้น มีเพื่อให้ฉันอยู่รอดปลอดภัยได้ในโลกใบนี้ และมีมาเพื่อดูแลความบอบบางที่ฉันยังมองไม่เห็น ไม่รับรู้ และไม่สามารถดูแลได้ด้วยตัวของฉันเองอย่างรู้เท่าทัน
ฉันขอยกตัวอย่างประสบการณ์ชีวิตจริงเพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ฉันเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าสังคม และใช้เวลาอยู่กับผู้คนตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะชวนไปไหน ชวนทําอะไรก็จะไปด้วย มักจะทําอะไรตามที่ ผู้อื่นบอกหรือแนะนํา ชีวิตแทบจะไม่เคยอยู่คนเดียวหรือตัดสินใจอะไรเองเลย เมื่อว่าง ก็จะไปหาคนที่เราจะไปไหนๆหรือทําอะไรด้วยได้ ทําให้ฉันมีเพื่อนหลากหลายกลุ่ม และจะมีคนรู้ใจที่ฉันคบหาด้วยตลอดเวลาแทบจะไม่ เว้นว่าง แต่ฉันก็ไม่เคยรู้ว่านั่นคือปัญหาที่ฉันมองไม่เห็น จนกระทั่ง ฉันมารู้ตัวอีกทีว่าฉันอยู่คนเดียวไม่เป็น ทําอะไรคนเดียวไม่เป็น เมื่อฉันเลิกกับคนที่ฉันคบหาอยู่ก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฉันเริ่มได้เข้าเรียน Voice Dialogue กับครูเจมี่ ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันตื่นขึ้นในชีวิต เมื่อพบว่าฉันเองไม่เคยแม้แต่จะทานข้าวคนเดียว ถ้าฉันอยู่คนเดียวข้างนอกบ้าน ไม่ว่าหิวแค่ไหน ฉันจะไม่นั่งทานข้าวคนเดียว ฉันรู้ตัวขึ้นมาเลยว่าฉันไม่ได้ดูแลร่างกายตัวเองเลย นั่นก็เป็นเพราะรูปแบบตัวตนหลักของฉันทําหน้าที่อย่างดีที่สุดที่ไม่ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวและรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นประสบการณ์ในอดีตเล็กๆที่เจ็บปวดตั้งแต่วัยเด็กที่นั่งเฝ้าคอยแม่กลับมาบ้าน และแม่ก็ไม่กลับมาสักทีจนต้องหลับไป หรือ แม่ทํางานอย่างหนักและลืมมารับฉันที่โรงเรียน จากเหตุการณ์เหล่านั้น รูปตัวตนหลักตัวหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาและดูแลฉันมาโดยตลอด ซึ่งฉันได้รู้จักผ่านการสัมภาษณ์ตัวตน คือ ผู้เอาอกเอาใจ (Pleaser) ซึ่งทําให้ฉันทําตามความต้องการของคนอื่นทุกอย่าง ไม่ปฏิเสธความต้องการของผู้อื่นเพื่อให้แน่ใจว่าเขารักเรา ประทับใจเรา ชอบเรา ไม่ลืมเรา เป็นเพื่อนเรา อยากอยู่กับเรา ดูแล้วฉันเหมือนเป็นคนง่ายๆตามใจคนอื่น แต่แท้จริงแล้วด้านนี้เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องความเจ็บปวดจากความอ้างว้างและความเหงาที่เป็นประสบการณ์ในวัยเด็ก ซึ่งเมื่อฉันโตขึ้นมา ฉันไม่เคยรู้จักคําว่าเหงาหรืออ้างว้างอีกเลย เพราะรูปแบบตัวตนหลักทําหน้าที่ทุกอย่างให้ฉันไม่เหงา แม้กระทั่งไม่ปล่อยให้ฉันทานข้าวคนเดียว
หลังจากที่ฉันได้รู้จักกับผู้เอาอกเอาใจผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ตัวตน ทําให้ฉันรู้ว่า ผู้เอาอกเอาใจเป็นส่วนหนึ่งในฉัน แต่ก็ไม่ใช่ฉันทั้งหมด ฉันก็ยังได้รู้จักและสัมผัสกับการดํารงอยู่ของ เด็กน้อยผู้อ้างว้างด้วย จากจุดนั้นเอง การเยียวยาภายในก็เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันรับเด็กน้อยผู้อ้างว้างเข้ามาอยู่ในการรับรู้ ไม่ปฏิเสธหรือ ตัดสินความรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว เมื่อด้านนั้นได้ดํารงอยู่ในการรับรู้ของฉันได้ ผู้เอาอกเอาใจก็ไม่จําเป็นต้องทําหน้าที่อย่างหนักเหมือนที่เป็นมา
หากจะสรุปใจความสั้นๆจากทั้งหมด นั่นหมายถึง ฉันกลัวที่จะโดดเดี่ยวและเหงา ฉันจึงพยายามที่จะเข้าหาผู้อื่นและมีเพื่อนอยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีการเอาอกเอาใจและทําตามใจผู้อื่น สิ่งที่ฉันต้องสูญเสียไปในชีวิต คือ ความเป็นอิสระ สิทธิ์ในการดูแลตัวเอง และสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง
หากฉันไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระขึ้นจากด้านที่ต้องการมีความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา ฉันก็ไม่มีทางที่จะรู้จักและหลอมรวมด้านที่รู้จักขอบเขตและมีพื้นที่ของตัวฉันเองด้วย ปัจจุบัน ฉันสามารถมีความสุขเวลาอยู่คนเดียวได้ ไม่รู้ สึกว่าต้องดิ้นรนวิ่งไปหาผู้คนเพื่อดูแลความอ้างว้างของฉัน และฉันก็ยังคงมีความสุขได้โดยไม่ต้องพยายามเอาอกเอาใจเมื่อใช้เวลากับผู้อื่นด้วย แต่ศักยภาพในการเอาอกเอาใจของฉันก็ยังดํารงอยู่และฉันสามารถเลือกใช้ศักยภาพนี้ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวและเท่าทันมากขึ้น
จากตัวอย่างข้างต้น เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของตัวตนหลัก (ผู้เอาอกเอาใจ) และตัวตนที่ถูกปฏิเสธ (ผู้มีขอบเขต) คู่หนึ่งภายในฉันที่ฉันได้ทํางานด้านในผ่านกระบวนการงาน Voice Dialogue อย่างสม่ำาเสมอในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การดํารงอยู่ของขั้วตรงข้ามในเวลาเดียวกันและทั้งสองตัวตนได้อยู่ในการรับรู้และได้รับการยอมรับจากฉัน สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงกับดุลยภาพภายในของฉันเอง และฉันประจักษ์ด้วยประสบการณ์ตรงผ่านการสัมภาษณ์ตัวตนว่า ไม่มีรูปแบบตัวตนใดตัวตนหนึ่งที่เป็น “ฉัน” แต่รูปแบบตัวตนเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของฉันเช่นกัน สําหรับฉัน นี่เป็นการฝึกหัดเล็กๆที่สำคัญเพื่อคลายความยึดถือ ยึดมั่น ยึดติด ในอัตตาตัวตน ซึ่งส่งผลให้การดําเนินชีวิตไหลลื่นมากขึ้น ไม่คับแคบ ไม่ดิ้นรนให้ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างที่รูปแบบตัวตนใดตัวตนหนึ่งบงการ และเกิดความไว้วางใจในกระบวนการของชีวิตมากขึ้น การทํางานกับรูปแบบตัวตนภายในคู่อื่นๆก็ส่งผลเหล่านี้ให้กับฉันเช่นกัน แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือการรู้จักและการเปิดรับรูปแบบตัวตนต่างเข้ามาสู่การรับรู้และการยอมรับ ซึ่งแต่เดิมฉันเองก็ไม่เคยรู้ว่ารูปแบบตัวตนเหล่านั้นดํารงอยู่ในฉัน เหมือนที่ดํารงอยู่ในคนทุกๆคนเช่นกันผ่านแบบแผนพลังงานต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของฉันก็ยังดําเนินต่อไป ทั้งหลับไหลและตื่นรู้สลับกันไปไม่เว้นว่าง (หลับมากกว่าตื่นซะอีก!) จุดนี้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วิถีการเปลี่ยนแปลงของจิตสํานึกของฉัน สําหรับฉัน งาน Voice Dialogue เป็นงานที่เอื้อต่อวิถีการปฏิบัติภาวนาเจริญสติของฉันเป็นอย่างมาก เพราะการรู้จักและจดจําสภาวะต่างๆได้อย่างชัดเจนแม่นยําผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ตัวตนอย่างสม่ำเสมอ ทําให้สติเกิดได้ไวขึ้นเมื่อสภาวะหรือพลังงาน(รูปแบบตัวตน)นั้นๆปรากฏขึ้นระหว่างการดําเนินชีวิตประจําวัน
ฉันเชื่อว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือการรับรู้หรือยังไม่ปรากฏขึ้นในชีวิตฉัน โจทย์ต่างๆมีวาระและเวลาของมันเอง ฉันไว้วางใจต่อสิ่งที่จักรวาลจัดสรรและนําพาเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆมาสู่ชีวิต ไม่ว่าจะ เป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์ให้ค่าว่าเป็น “เหตุการณ์แห่งความสุข” หรือ “เหตุการณ์สร้างความทุกข์” ไม่มีอะไรเป็นเหตุบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยง และ มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น แต่ฉันจะสามารถเท่าทันต่อเหตุการณ์และสิ่งที่ปัญญาแห่งจักรวาลจัดสรรมาให้ฉันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนการตื่นรู้ของตัวฉันเอง
ตัดตอนจากบทความวิชาการ "การเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึกกับงานจิตวิทยารู้เท่าทันตัวตน"
มกราคม 2559
ซอย - วริวรรณ์ วิทยฐานกรณ์
Voice Dialogue Facilitator
コメント